วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

4 สิ่งสำคัญที่ควรรู้ในการลงทุน


4 สิ่งสำคัญที่ควรรู้ในการลงทุน



 

1.ทุน


 ทุนที่ดีคือ ทุนที่ไม่เสี่ยง ซึ่งความไม่เสี่ยงในตัวทุนนั้น จะมีอยู่สองปัจจัย

     อย่างแรกคือ เป็นทุนที่สามารถทิ้งไว้ใน asset ได้ยาวๆ จนกระทั่ง asset นั้นแสดงมูลค่าออกมา เช่น เป็นเงินที่ไม่ได้ใช้ เอาไปซื้อที่ดินเก็บไว้เป็น 20-30 ปีได้ 

     อย่างต่อมาคือ เป็นทุนที่เราสามารถลดทุนของเราอยู่นั้นลงได้เรื่อยๆ หรือเป็นเทคนิคในการทำ risk free นั่นเอง

การทำ " risk free " ก็มีได้ตั้งแต่ การแบ่งขาย asset เพื่อดึงทุนบวกกำไรออกมา การเอาทุนส่วนนึงลงทุนใน asset ที่มีปันผล เพื่อใช้ปันผลมาลดทุนของ asset อื่นๆ

ทุนเป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจมากที่สุด เพราะทุนคือโอกาส หลายครั้ง โอกาสที่ดีๆ มากๆ มาถึง ทุนเราดันหมด ความเสียโอกาสตรงนั้นอาจจะกระทบต่อผลตอบแทนของเราในอนาคตจนประเมินค่าไม่ได้เลย

2.การประเมินมูลค่า ของ asset


นี่แทบจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะในตลาดหุ้น) ไม่เคยสนใจเลยก็ว่าได้
การประเมินมูลค่า เป็นการมองไปในอนาคตว่าสิ่งที่เราจะลงทุน จะมีมูลค่างอกเงยขึ้นมาได้อย่างไร
ในหนังเรื่อง เจ้าพ่อตลาดหุ้น มีฉากนึงที่ให้ไอเดียมาก เป็นฉากที่ตัวละครในเรื่องขับรถไปจอดตรงหน้าผา มองลงไปที่ทะเล แล้วชี้ให้อีกคนดู ก่อนบอกว่า นี่ ที่ตรงนี้ในอนาคตมันจะกลายเป็นท่าเรือ
 
แน่นอน คงไม่ต้องบอกว่า เมื่อที่ตรงนั้นกลายเป็นท่าเรือแล้ว มูลค่าของที่ดินแถบนั้นจะเป็นยังไง
 การประเมินมูลค่า ไม่ว่าจะถูก หรือผิด อย่างน้อยที่สุดมันทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราจะลงทุนน่ะ มันราคาถูกหรือแพงประเมินถูกก็รวย ประเมินผิดก็จน แต่ถ้าไม่ประเมินเลย ก็คืออาจจะไม่มีโอกาสที่จะรวยเลยก็ได้ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่หลายคน มีทักษะที่โดดเด่นอย่างเดียวคือการประเมินมูลค่าในอนาคตของสิ่งที่ตัวเองลงทุน

3.เวลา


กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว การลงทุนก็เหมือนกัน อาจจะมีบ้างที่เราเจอนักลงทุนที่โชคดีสุดๆ จับอะไรก็ขายต่อได้แพง ได้กำไรดี แต่เราจะเจอมากกว่า คือนักลงทุนที่ลงทุนแล้ว asset ค่อยๆ เติบโต มูลค่าค่อยๆ สูงมากขึ้น และสร้างผลตอบแทนเมื่อผ่านเวลาไปชั่วระยะหนึ่งก่อน
เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการลงทุน เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่กว่าจะให้ร่มเงาแก่ผู้คนได้มากมาย อาจใช้เวลาหลายชั่วอายุคน
การเริ่มต้นลงทุน จึงยิ่งเริ่มต้นได้ไวเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เพราะจะได้มีเวลาให้ asset เพิ่มมูลค่าได้ยาวนานขึ้น เผื่อผลตอบแทนกลับมาได้ไวขึ้น

4.ความไม่โลภ


สิ่งที่ทำร้ายนักลงทุนมากที่สุดคือตัวนักลงทุนเอง คือ ความโลภ จนเกินพอดี
เมื่อโลภเกินความรู้ที่มี การลงทุนจึงล้มเหลว

เมื่อโลภเกินความสามารถที่มี ทุนจึงร่อยหรอ จนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว
รักจะลงทุน อย่าโลภ ลงทุนแค่พอดีๆ แค่ที่เรายังสามารถกินอิ่ม นอนหลับ ใช้ชีวิตตามปกติได้ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนกับมันมากจนเกินไป

มีเงินมากมันก็ดี แต่มีเงินมากแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่ดี

 

ในทุกข้อที่เขียนมา ถ้าลงทุนจนมีข้อที่ 4 นี้ได้

ก็ถือได้ว่าคุ้มแล้วที่ลงทุนมา.

โลกกำลังจะเปลี่ยนไป


โลกกำลังจะเปลี่ยนไป

 


ถ้าเราเปลี่ยนตามโลกไม่ทัน เราจะกลายเป็นคนในกลุ่มที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเปลี่ยนแปลง

วิสัยทัศน์จึงกำหนดชีวิตเราได้มากกว่าหมอดู

การผูกเหตุปัจจัยต่างๆ เข้ามาเพื่อวางแผนอนาคต มีผลต่อชีวิตเรามากกว่าการผูกดวง

และต่อไปนี้คือ สิ่งที่เรามองเห็น และค่อยๆ ทำตามแผนไปเรื่อยๆ

 


1.       ระบบบำเหน็จบำนาญ แบบเดิมจะหมดความหมาย ภาระของรัฐในการเลี้ยงดูพนักงานที่เกษียณจะถูกลดลงจนหายไปในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า คนที่ไม่วางแผนเกษียณตั้งแต่เริ่มทำงาน มีความเสี่ยงที่จะเป็นพวกถังแตก มีรายได้ไม่พอใช้ในวัยเกษียณ สิ่งที่จะมาทำหน้าที่นี้แทน คือกองทุนต่างๆ คือนักบริหาร นักวางแผนทางการเงิน และความรู้ทางการเงินจะเป็นตัวชี้วัดการอยู่รอดของคนทำงานในยุคสมัยใหม่


2.       ความมั่นคงทางอาหาร คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด การอยู่รอดให้ได้ในโลกที่เงินเฟ้อยิ่งนานวันจะยิ่งบ้าคลั่งรุนแรง เพราะพลังงานธรรมชาติลดน้อยลงตลอดเวลา ทางรอด อยู่ที่การสร้างความต้องการพื้นฐานในชีวิตได้เอง และอาหารก็เป็นปัจจัยที่สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไป การทำนา การทำการเกษตร ที่ดินที่เพาะปลูกได้ จะกลายเป็น asset ที่มีค่ามากขึ้นไปเรื่อยๆ
 

3.       รายได้จากแหล่งเดียวจะกลายเป็นความเสี่ยงของคนรุ่นใหม่ ธุรกิจย่อยๆ จะมีมากขึ้น แตกหน่วยย่อยออกมากขึ้น  แต่การแข่งขันก็จะยิ่งรุนแรง และวงจรชีวิตของธุรกิจจะยิ่งสั้นลง เพราะเป็นยุคที่ใครก็เปิดร้านขายของได้ แต่ก็ขายแต่ของซ้ำๆ กันไปหมด

4.       การต่อสู้ในโลกยุคหน้า จึงสู้กันที่ระยะเวลาว่าใครยืนระยะได้ยาวนานกว่ากัน ใครอึดมากกว่า ทนทานมากกว่า และสามารถผ่านวิกฤต ผ่านการปรับตัวที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นได้มากกว่า เวลาจึงกลายเป็นต้นทุนที่สำคัญมากสำหรับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งที่จะเลี้ยงชีวิตให้ได้ไปตลอดจนสิ้นอายุขัยของคนแต่ละรุ่น

5.       สิ่งที่มีค่ามากคือวิสัยทัศน์ของคน และต้องเป็นวิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงมาหาปัจจุบันได้ว่า จะสร้าง จะลงมือ จะทำยังไงให้สิ่งที่วาดภาพไว้นั้นเกิดได้จริง คนที่มีวิสัยทัศน์พร้อมศักยภาพในตัว จะเป็นคนกลุ่มแรกที่อยู่รอดได้ ซึ่งนั่นอาจหมายถึง สุดท้ายแล้ว พวกเขาต้องเป็นคนที่มาจ้างพวกที่ไร้วิสัยทัศน์และไม่มีประสิทธิภาพใดๆ ให้ทำงานได้พออยู่ไปวันๆ

6.        เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้น คือทำทันที ถ้าไม่เริ่มต้นก้าวแรก ก้าวต่อไปก็จะไม่มีวันมาถึง โอกาสไม่เคยมีไว้ให้คนที่มัวแต่เวิ่นเว้อ ไม่ลงมือทำอะไรจริงจังเสียที .

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จอมยุทธ์ต้องออกเดินทางไกลเพื่อไปฝึกวิชา

ทำไมในหนังจีนกำลังภายใน  " จอมยุทธ์ต้องออกเดินทางไกลเพื่อไปฝึกวิชา "




เพราะการเดินทางไกล คือการตัดสินใจแล้วว่า เมื่อออกเดินทางแล้ว จะหันหลังกลับมาไม่ได้
ต้องละแล้วทุกอย่าง ทิ้งบ้าน ทิ้งคนรัก ทิ้งความสุขสบาย
ออกเดินทางสู่ความยากลำบาก   จะเจออาจารย์มั้ย – ไม่รู้จะฝึกเคล็ดวิชาสำเร็จหรือเปล่า "
ต้องเดินทางไกลแค่ไหน ต้องใช้เวลานานขนาดไหน กว่าจะบรรลุกลายเป็นยอดฝีมือ
ทางข้างหน้าไม่เห็น
จอมยุทธ์จึงมีแค่ความเชื่อที่แรงกล้าเป็นตัวนำทาง

สำคัญกว่านั้น ยุทธจักรไม่เคยมีเพียงหนึ่งจอมยุทธ์
ฝึกปรือวิชาได้แล้ว ยังต้องไปต่อสู้ฝ่าฟันกับจอมยุทธ์คนอื่นอีกมากมาย
การได้ครองยุทธจักร ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย

เราทุกคนไม่ต่างจากจอมยุทธ์ในหนังจีน
บางครั้ง ที่ยังทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ
อาจแค่ต้องถามตัวเองว่า เราเคยออกเดินทางไกลบ้างแล้วหรือยัง
ถ้าออกเดินทางแล้ว เรายอมทุ่มทั้งชีวิตเพื่อมันแล้วหรือยัง ?
ถ้าไม่สำเร็จเราจะไม่หันหลังกลับมาเด็ดขาด เราจะยอมทุ่มเท ยอมอด ยอมทุบหม้อข้าวเพื่อต่อสู้ เอาชนะมันให้ได้
เราหาสิ่งเหล่านี้เจอหรือยัง ?

แต่เราต้องไม่ลืมเช่นกันว่า
จอมยุทธ์หลายคนมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เพราะพวกเขามีชีวิตอยู่บนเส้นที่ตึงข้างเดียวมาตลอด

หลายคนจึงไม่ออกเดินทาง ไม่ใช่เพราะใจไม่กล้าเดินตามฝัน

แต่เพราะบ้านที่เขาอยู่ มันอุ่นพอแล้วให้ชีวิตพักพิงและเดินทางใกล้ๆ ไปจนบั้นปลายชีวิต.

การลงทุน "เพื่อ" กับ " เผื่อ "



การลงทุน เราต้องคิดถึงคำสองคำ


 " เพื่อ " กับ " เผื่อ "

เราลงทุนเพื่ออะไร จะบอกว่าเราต้องเผื่ออะไรไว้บ้าง
ถ้าลงทุนเพื่อเก็งกำไร ซึ่งต้องอาศัยความแม่น ต้องลงทุนถูกทิศทาง เราต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง เราต้องเผื่อความสูญเสียถ้าผิดทางไว้บ้าง

ถ้าลงทุนระยะยาว เราต้องเผื่อเวลาไว้นานหน่อย 5-10 ปี เราต้องเผื่อราคาเป้าหมายกับราคาปัจจุบันไว้ในระดับที่ปลอดภัย ไม่ทำให้พอร์ทเหวี่ยงรุนแรงมาก

แต่ไม่ว่าจะลงทุนแนวไหน ลงทุนเพื่ออะไร   สิ่งที่เหมือนกัน คือเราต้องเผื่อใจไว้บ้าง

เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการเรียนรู้ไป  " สู่ความสำเร็จ "
ทุ่มหมดตัว มั่นใจสุดทาง จัดเต็มอยู่ตลอด

ถึงเงินทอง ถึงทุนอาจจะเหลือ แต่หมดใจแล้ว ไม่กล้ากลับมาลงทุนแล้ว ปลายทางที่งดงามก็จะไม่มีวันมาถึง
ไม่ว่าจะลงทุนเพื่ออะไร เผื่อใจไว้บ้าง
ไม่งั้นอาจจะแถตกข้างทาง ก่อนถึงความสำเร็จ.

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

โลกในปัจจุปัน กับ การตลาดเเบ่งชนชั้น


เรื่องชนชั้น เราจะเห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องของธุรกิจ " เรื่องการตลาด "
ตลาดบน ตลาดกลาง ตลาดล่าง แบ่งกันไปตามระดับรายได้
ชนชั้นในสมัยก่อน ใช้ระบบเจ้าขุนมูลนายไพร่ทาส ส่งส่วย ส่งบรรณาการ
ชนชั้นในสมัยนี้ วัดจากรายได้ ทรัพย์สิน เงินฝากในธนาคาร วงเงินบัตรเครดิต
โลกหมุนมาถึงจุดที่ทรัพยากรบนโลกลดน้อยลงเรื่อยๆ
ยิ่งน้อยลง ช่องว่างทางชนชั้นยิ่งถ่างออกมากขึ้น
คนที่ถือครองทรัพยากรมากที่สุด ยิ่งรวยมากขึ้น

ในฐานะพลเมืองโลก คนเราจึงยิ่งต้องทำงานให้ได้เร็วขึ้น มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
คนที่ทำได้ดี ก็จะค่อยๆ ขยับชนชั้นของตัวเองขึ้นไป
คนที่ทำได้ไม่ดี ก็จะอยู่กับที่ หรือหนักกว่าก็คือลดชนชั้นลงมา
โลกทุกวันนี้ จึงไม่ใช่แค่ คนจนทำงานให้คนรวย
เพราะสภาวะของโลกที่เปลี่ยนไป เงินเฟ้อมากขึ้น คนที่ขยับชนชั้นไม่ได้ จึงยิ่งมีภาระมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
คนจน นอกจากทำงานให้คนรวย ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยให้คนรวยมากขึ้น จากภาระทั้งที่ตัวเองก่อ และไม่ได้ก่อขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม โลกนี้ยังแฟร์กับทุกคนอยู่เสมอ
ยังมีที่ทาง มีช่องว่างให้คนที่มองเห็นอยู่ทุกยุคสมัย
การจะก้าวข้ามชนชั้นไปให้ได้ จึงอยู่ที่การพึ่งพาตัวกลางของการแลกเปลี่ยนอย่าง " เงิน " ให้น้อยลง
ด้วยการสร้างปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตขึ้นมา ลดทอนต้นทุนในการใช้ชีวิต และเล่นในเกมของตัวเองให้ได้
อาหารที่ทำกินเองได้ ใช้ต้นทุนถูกกว่าการไปซื้อกินที่ร้าน
เสื้อผ้าที่ใส่ซ้ำได้ สิ้นเปลืองน้อยกว่าการต้องวิ่งตามแฟชั่น
อุปกรณ์สื่อสารที่ไม่ต้องทันสมัย in trend ราคาถูกกว่าตอนเปิดตัว 20-30% รอซื้อตอนราคามันลดลงมาก็ได้

ในระยะยาว ต้นทุนชีวิตที่ถูกกว่า จะสร้างต้นทุนการเงินที่มากกว่าคนที่ใช้ต้นทุนชีวิตสูงกว่าระดับรายได้อยู่ตลอดเวลา
การขยับชนชั้นให้ได้ จึงเริ่มจากการขยับชนชั้นทางการเงินของเราให้ได้ก่อน
เปลี่ยนจาก คนจ่ายดอกเบี้ย ไปเป็นคนรับดอกเบี้ยให้ได้ก่อน
การข้ามชนชั้นทางการเงินได้ เป็นการข้ามที่เราได้ประโยชน์ทั้งสองฝั่ง
เพราะเมื่อเราไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย คือการลดรายจ่าย
และถ้าเราเป็นฝ่ายได้ดอกเบี้ย รายได้เราก็จะเพิ่มมากขึ้น

ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ เราจึงต้องเริ่มจากนิสัยประจำวันของเรา
ถ้าเรายังใช้มากกว่าที่หามาได้ ก็จะไปถึงเป้าหมายได้ยาก
ทุนเกิดจากตัวเราเอง การสั่งสมทุน เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำได้ ชีวิตหลังจากนั้นคือความคุ้มค่าที่สุดจากความอดทนต่อกิเลสยั่วยวนใจรอบตัว

ถ้าชีวิตไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน

ปัญหาอื่นๆ นอกจากนั้น - ก็จะไม่หนักหนาจนเกินไป.

ads

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Hostgator Discount Code